เสียงปี่ใน นำบรรเลง เพลงนกขมิ้น
ยามได้ยิน ระนาดทุ้ม นวลนุ่มหนอ
เพลงสองชั้น นกตัวเมีย เคล้าเคลียคลอ
สามชั้นพอ รอยลยิน พิณพาทย์เพลง
ระนาดทุ้ม นวลนุ่ม คุมบรรเลง
ชื่นชมเกรง เพ่งพิศ ประสิทธิ์ผล
ครูสำราญ เกิดผล ยามได้ยล
ประเสริฐล้น ถวิลถิ่น พิณพาทยรัตน์
พาทยรัตน์ คือ เพชรแก้ว สวยแพรวใส
วงปี่พาทย์ พาทยรัตน์ พัฒนาไทย
บันดาลดล ผลเลิศ ประเสริฐล้ำ
สมเด็จ พระเทพรัตน์ ประทานนาม
ชื่อเลิศธรรม นามมั่นคง วงพาทยรัตน์
เสียงบรรเลง ระนาดทุ้ม เสนาะสงัด
วงพาทยรัตน์ จัดความคิด ประสิทธิ์ศรี
ผ่องพราวพุทธ ไหว้พระธรรม เลิศล้ำทวี
ประเสริฐดี มีคุณค่า พัฒนาใจฯ
โอ้เจ้านก ขมิ้น เหลืองอ่อนเอย ตาวันเลย ลับตาแล้ว แก้วนอนไหน
เมื่อเจ้าจร แรมร้าง ห่างจากไพร จากเหนือใต้ ไกลสุดหล้า สู่เมืองฟ้าอมร
โอ้เจ้านก ขมิ้น เหลืองอ่อนเอย สุดแสนเลย ที่เมื่อยล้า และเหนื่อยอ่อน
เมื่อเจ้าไร้ ที่พักพิง ให้อิงนอน เจ้าสิ้นไร้ คอนอาศัย ไม้ ใบบัง
โอ้เจ้านก ขมิ้น เหลืองอ่อนเอย เจ้าไม่เคย สมความคิด สมความหวัง
บ้านที่ฝัน พลันล้มพับ กลายกลับพัง เจ้าจึงอยู่ พักลำพัง เพียงตัวเดียว
โอ้เจ้านก ขมิ้น เหลืองอ่อนเอย เจ้าคงเคย รู้สึกท้อ ใจห่อเหี่ยว
เมื่อยากไร้ ผู้ใดมา ดูแลเหลียว เจ้าจึงเปลี่ยว เปล่าเอกา ดูอาดูร
โอ้เจ้านก ขมิ้น เหลืองอ่อนเอย เจ้าคงเคย ฟังเพลง พาสิ้นสูญ
พบกับความ ใหญ่ยิ่ง สิ่งไพบูลย์ เจ้าจึงไร้ ที่โอบเอื้อ เกื้อกูลกัน
โอ้เจ้านก ขมิ้น เหลืองอ่อนเอย เจ้าคงเคย คิดว่าเป็น แค่ความฝัน
เมื่อเอื้อมมือ ไขว่คว้าจับ กลับหายพลัน เป็นกลุ่มควัน ที่จาง หายลับไป
โอ้เจ้านก ขมิ้น เหลืองอ่อนเอย เจ้าคงเคย คิดกลับ บ้านเดิมไหม
ที่รวมหมดทั้งผืนแผ่นดินใหญ่และหมู่เกาะ)” ที่มีพยานหลักฐานโบราณคดียืนยันว่า
ไม่น้อยกว่า 3,000 ปีมาแล้ว เพลงดนตรีและนาฏศิลป์ไทยสยามที่เห็นและเป็นอยู่ในปัจจุบันเป็นผลของพัฒนาการยาวนานมาก อย่างน้อย 3,000 ปีมาแล้ว ฉะนั้นจึงไม่ใช่ของเดิมแท้ แต่เป็นสิ่งใหม่ที่มีรากเหง้าความเป็นมาหลายทิศทางและหลายอย่างเคล้าคละปะปนอยู่ด้วยกัน แต่อาจแยกได้อย่างน้อย 2 กลุ่ม ได้แก่ เพลงดนตรีและนาฏศิลป์ปัจจุบันมีทั้งสมบัติดั้งเดิมดึกดำบรรพ์อยู่ “ภายใน” กับแบบแผนต่างประเทศที่รับเข้ามาจาก “ภายนอก” ผสมผสานจนเป็นเนื้อเดียวกัน ซึ่งลักษณะผสมผสานระหว่างภายในกับภายนอก ทำให้มีเพลงดนตรีและนาฏศิลป์อย่างน้อย 2 ระดับ คือ ระดับราษฎร์ (little tradition) อยู่กับชุมชนท้องถิ่น และระดับหลวง (great tradition) อยู่ในราชสำนักและชนชั้นสูงกับชนชั้นกลางหรือชนชั้นพิเศษ แต่การศึกษาค้นคว้าเรื่องเพลงดนตรีและนาฏศิลป์ไทยสยาม “ตกหลุมดำอำมหิต” อย่างน้อย 2 เรื่อง คือ แนวคิดแบบอาณานิคมและหลังอาณานิคม กับแนวคิดแบบราชาชาตินิยม หรือ ราชสำนักนิยม (จะอธิบายย่อๆต่อไป) แนวคิดแบบอาณานิคมและหลังอาณานิคม เป็นสิ่งต่อเนื่องกัน เริ่มต้นที่เชื่อว่ามี “เชื้อชาติไทย” บริสุทธิ์อยู่จริง แล้วมีแหล่งกำเนิดอยู่บริเวณเทือกเขาอัลไต ต่อมาสถาปนาอาณาจักรน่านเจ้า แล้วถูกจีนรุกรานหนีร่นลงทางใต้ สถาปนาอาณาจักรสุโขทัยขึ้นแห่งแรกเมื่อราว พ.ศ. 1800 ฉะนั้นก่อน พ.ศ. 1800 ไม่มีคนไทยอยู่ในดินแดนประเทศไทย มีแต่มอญและขอมกับคนป่าเถื่อนอื่นๆ เพลงดนตรีและนาฏศิลป์ไทยสยาม ล้วนรับแบบแผนจากอินเดีย ตามแนวคิดเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศสว่า Indianize States โดยผ่านมอญและขอม แต่ปฏิเสธว่า ขอม ไม่ใช่ เขมร เพราะขอมเป็นชนชาติต่างหากจากเขมร แต่หลักฐานประวัติศาสตร์โบราณคดีที่พบ ล้วนตรงข้ามกับสิ่งที่เจ้าอาณานิคมเผยแพร่ แนวคิดแบบราชาชาตินิยมหรือราชสำนักนิยม ทำให้ยกย่องเพลงดนตรีและนาฏศิลป์ของราชสำนักเป็นต้นแบบของความเป็นไทย แล้วยกย่องเฉพาะราชสำนักสุโขทัยและอยุธยาแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยาเท่านั้น แต่ไม่ยกย่องลุ่มน้ำอื่นๆ เช่น ลุ่มน้ำโขง, ชี, มูล ฯลฯ แนวคิดนี้ทำให้ยกย่องเฉพาะปี่พาทย์, มโหรี, เครื่องสาย เป็นดนตรีไทย แต่สะล้อ ซอ ซึง และ แคน-โปงลางเป็นพื้นเมือง หมายความว่าไม่ใช่ “ไทย” เพลงเถามี 3 ชั้น 2 ชั้น และชั้นเดียว มีร้องเอื้อนลากยาวเป็นลักษณะดีเด่นของเพลงดนตรีไทยทั้งประเทศ ทั้งๆเพิ่งมีขึ้นหลังรัชกาลที่ 2 รุ่งเรืองในรัชกาลที่ 4-5-6 ก่อนหน้านั้นไม่เคยมี ที่มีมาแต่ยุคอยุธยาคือลักษณะที่เรียกกันภายหลังว่า “ร้องเนื้อเต็ม” คำร้องทำนองไปพร้อมกันเหมือนลูกทุ่ง-ลูกกรุง ทุกวันนี้ หลักฐานเป็นพันๆปีของเพลงดนตรีและนาฏศิลป์ไทยสยามสุวรรณภูมิมีทั่วไป และมีมากมายหลากหลายทั่วทั้งภูมิภาคอุษาคเนย์ แต่จะรู้ได้เห็นได้ก็ต้องหลีก “หลุมดำอำมหิต” ให้ห่างไกลเสียก่อน แล้วอย่าเผลอตกหลุม
ตกร่องนั้นอีก ก็จะพบว่าวัฒนธรรมไม้ไผ่กับวัฒนธรรมฆ้องเป็นต้นเค้ารากเหง้าเก่าแก่สุดของเครื่องมือทำเพลงดนตรีไทยสยามสุวรรณภูมิ ที่สำคัญ คือ ผู้หญิง เป็นเจ้าของเครื่องมือ ไม่ใช่ผู้ชายอย่างที่เข้าใจกันทุกวันนี้ ผู้หญิงของสุวรรณภูมิ คือ แม่ แปลว่า ผู้ยิ่งใหญ่, ผู้มีอำนาจ, ฯลฯ หมายถึง หญิงเป็นใหญ่ทั้งนั้น
“วัฒนธรรมไม้ไผ่” เป็นเครื่องมือเก่าแก่มาก อาจเก่าแก่สุด
ใช้ทำเพลงดนตรีลักษณะต่างๆ ตั้งแต่เก่าสุด คือ เกราะ,โกร่ง,กรับ
แล้วมีพัฒนาการเป็น ระนาด, กลอง คือ กลองไม้ และกลองทัด
วัฒนธรรมไม้ไผ่ เมื่อผสมเข้ากับวัฒนธรรมฆ้อง ก็จะกลายเป็น
ลุ่มน้ำสาละวิน-อิระวดี, ฯลฯ มีกฎหมายเก่าก่อนยุคกรุงศรีอยุธยา
ราว 100 ปีระบุว่ามี ปี่พาทย์ฆ้องวง ใช้ประโคมแก้บน, เสียผี ฯลฯ
“วัฒนธรรมฆ้อง”แรกมีเมื่อราว 3,000 ปีมาแล้วเป็นอย่าน้อย เกิดจากโลหะผสม (ทองแดง + ดีบุกหรือตะกั่ว) เรียกสัมฤทธิ์ ทำเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์เรียก ฆ้องบั้ง, กลองทอง, (กลอง)มโหระทึก, ฆ้องหรือกลองสัมฤทธิ์ก็เรียก ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นต้นแบบให้มีเครื่องมือที่เรียก ฆ้อง หรือ ระฆัง มีรากคำจากตระกูลภาษาชวา-มลายู ยังใช้สืบเนื่องถึงปัจจุบัน ซึ่งในยุคนี้เองมีเครื่องเป่ามีลิ้นทำด้วยสัมฤทธิ์แผ่นบางๆ เรียก แคน พบหลักฐานตั้งแต่ยูนนานถึงเวียดนามและหมู่เกาะ แล้วกระจายอยู่สองฝั่งโขง ราว 3,000 ปีมาแล้ว ประมาณหลัง พ.ศ. 1000 หรือ ราว 1,500 ปีมาแล้ว การค้าโลกทางทะเลอันดามัน นำศาสนาพุทธ-พราหมณ์เข้ามาถึงดินแดนสุวรรณภูมิ พร้อมเครื่องมือทำเพลงดนตรีจากภายนอก คือ อินโด-เปอร์เซีย หมายถึง อินเดีย และอิหร่าน เครื่องมือสำคัญ คือ สรไน เรียกต่อมาภายหลังว่า ปี่ไฉน พร้อมด้วย เครื่องหนัง คือกลองหลายชนิด เช่น กลองชนะ ฯลฯ บรรเลงรวมกันตามประเพณีอินโด-เปอร์เซียเรียก “ปัญจตุริย” หรือ “เบญจดุริยางค์” มีปี่ 1 เลา กับกลอง 4 ใบ ภาษาปากเรียกกลอง 4 ปี่ 1 แต่บางท้องถิ่นเรียกชื่อต่างๆไป เช่น สุโขทัย-พิษณุโลก เรียก มังคละ ตามแบบลังกา ภาคใต้เรียก กาหลอ ตัดคำจากมังคละเดียวกัน นับแต่นี้ไปจะมีเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาทะยอยแพร่เข้ามา เช่น แตร, สังข์, บัณเฑาะว์, มรทิงค (ตะโพน) ฯลฯซึ่งหลักฐานเหล่านี้มีทั้งจารึกและภาพสลักที่ทำสืบเนื่องต่อมาถึงยุคหลังๆ เช่น นครวัด, นครธม เป็นต้น นางทั้ง 5 นั่งพับเพียบเล่นดนตรี-มโหรี ปูนปั้นจากสถูปวัดโขลง เมืองคูบัว จังหวัดราชบุรี อายุราวหลัง พ.ศ. 1200 หรือพันกว่าปีมาแล้ว เป็นต้นแบบมโหรี-ดนตรี หรือ เครื่องสาย มีเพียะหรือพิณน้ำเต้า, พิณ 5 สาย, กรับ, ฉิ่ง, ร้อง รวม 5 คน นั่งพับเพียบแบบสุวรรณภูมิ ต่างจากอินเดียที่คนเล่นเป็นผู้ชาย และนั่งขัดสมาธิ, ไขว่ห้าง, ห้อยขา ซึ่งปูนปั้นนางทั้ง 5 เป็นแบบแผนจากอินเดีย มีพยานสนับสนุนอยู่ในจารึกศาลเจ้าที่ลพบุรี ระบุพระราชาถวายนางข้าทาส (เทวทาสี) ทำหน้าที่ขับลำนำบำเรอเทวสถาน และแบบแผนอย่างนี้จะพัฒนาไปเป็นดนตรี-มโหรี ในยุคกรุงศรีอยุธยา เรียกเจ้าพนักงานบรรเลงซึ่งเป็นผู้หญิงทั้งหมดว่า เสภา มีคำ เสภาดนตรี และ เสภามโหรี ขับกล่อมพระเจ้าแผ่นดินเมื่อจะทรงบรรทม แต่นักวิชาการดนตรีเข้าใจผิดว่าเสภาดนตรี คือตีกรับขับเสภาขุนช้างขุนแผนอย่างปัจจุบัน ซึ่งไม่จริงอย่างนั้น จะขอยกตัวอย่างหลักฐานว่า วงดนตรี-วงมโหรี เป็น 2 วงแยกกัน มีในกฎมณเทียรบาลและวรรณคดียุคต้นกรุงศรีอยุธยา กฎมณเทียรบาลตอน “พระราชนุกิจ” มีชื่อ “เสภาดนตรี” ตอนพระราชพิธีเดือน 12 จองเปรียงลดชุดลอยโคมลงน้ำ จดว่าในกระบวนเรือเสด็จพระราชดำเนินทางชลมารคจะมีวงบรรเลง “ซ้ายดนตรี ขวามโหรี” ซึ่งมีความหมายว่าดุริยดนตรีจะทำบทบาทและหน้าที่แตกต่างกันคือ ทำหน้าที่ “ดนตรี” และ ทำหน้าที่ “มโหรี” แบบแผน “ดนตรี” มีอยู่ในอนิรุทธคำฉันท์ว่า
๏ จำเรียงสานเสียง ประอรประเอียง กรกรีดเพยียทอง เต่งติงเพลงพิณ ปี่แคนทรลอง สำหรับลบอง ลเบงเฉ่งฉันท์
๏ ระงมดนตรี คือเสียงกระวีสำเนียงนิรันดร์ บรรสานเสียงถวาย เยียผลัดเปลี่ยนกัน แลพวกแลพรรค์ บรรสานเสียงดูริย์
ข้อความที่บอกว่า “ระงมดนตรี” และ “บรรสานเสียงดูริย์” ในอนิรุทธคำฉันท์ ก็คือ ชื่อ “ดุริยดนตรี” มีหน้าที่ “สำหรับลบอง ลเบงเฉ่งฉันท์”
สอดคล้องกับข้อความในสมุทรโฆษคำฉันท์อักว่า “ด้อมสงัดเสียงดุริยดั่งคม ด้อมสงัดสาวสนม อันจาวจำเรียงเสียงฉันท์” (และอาจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับโคลงกำสรวลสมุทรว่า
“ฤๅกล่าวคำหลวงอ้า อ่อนแกล้งเกลาฉันท์”) หมายถึงการสวดหรืออ่านฉันท์เป็นทำนอง (เสนาะ)
โดยมี เครื่องมือบันลือบรรเลงคลอ แบบแผนของ “ดนตรี” มีเครื่องมือโดยรวมๆ (อย่างน้อย) อาทิเช่น
“เพยีย” หมายถึง เพียะหรือเปี๊ยะซึ่งยังมีใช้และเรียกอยู่ในท้องถิ่นล้านนาทุกวันนี้ แต่ในกำสรวลสมุทรเรียกว่า “เพลี้ย” อันเป็นเครื่องมือที่สามัญชนในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นใช้ดีดเกี้ยวพาราสีกันและในพงศาวดารล้านช้างเรียก “เพี้ยะ”
“ติง” หรือ “เต่งติง” หมายถึงเครื่องดีดชนอดหนึ่ง ชื่อนี้แพร่หลายอยู่ในชนชาติต่างๆทางตอนใต้ของจีน
“พิณ” น่าจะหมายถึงเครื่องดีดทั่วๆไปทั้ง “เพยีย” และ “ติง” รวมทั้งที่ปรากฏในกฎมณเทียรบาลอีกว่า กระจับปี่และจะเข้
“ปี่” หมายถึงเครื่องเป่า เช่น ปี่อ้อในท้องถิ่นล้านนา และในกฎมณเทียรบาลมีคำว่าเป่าขลุ่ยเป่าปี่ โดยที่เอกสารจีนยังมีเรียกปี่น้ำเต้าซึ่งอาจจะหมายถึงเรไร
“แคน” หมายถึงเครื่องเป่ามีหลายเสียง แพร่หลายอยู่ในกลุ่มชนเผ่าต่างๆและตระกูลไทย-ลาว มีพัฒนาการเมื่อไม่น้อยกว่า 3,000 ปีมาแล้ว
“ทร” ตรงกับ “ซอ” ในกฎมณเทียรบาลมีคำว่า “สีซอ” หมายถึงเครื่องสี ในนิราศหริภุญชัยเขียนว่า “ทร้อ” ตรงกับคำว่า “สะล้อ” ของท้องถิ่นล้านนา แต่ข้อความที่ว่า “ปี่แคนทรลอง” อาจมีความหมายอย่างท้องถิ่นล้านนาว่าขับหรือร้องเพลงก็ได้ดังประเพณี “ขับซอยอยศ” ในพระลอ เช่นเดียวกันกับไทยใหญ่มีคำว่า “ซอ” แปลว่าร้องเพลงเมื่อประกอบเครื่องมือใดๆ ก็ออกชื่อเครื่องมือใดๆ ก็ออกชื่อเครื่องมือนั้นๆ ด้วย เช่น ซอปี่ ซอซึง ซอเปียะ ฯลฯ หากการซอหรือร้องนั้นมีเครื่องทำจังหวะ ได้แก่ กรับ ซึ่งเครื่องมือยุคแรกๆที่มีมาแต่ดั้งเดิมอย่างปี่ แคน ติง และอื่นๆ ยังคงมีบทบาทอยู่ในราชสำนักสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นๆ นี้ด้วย แต่ภายหลังถูกเหยียดลงให้เป็นเครื่องมือท้องถิ่นถึงทุกวันนี้ และ ผู้ทำหน้าที่ระงม “ดนตรี” เพื่อ “บรรสานเสียงถวาย” และ “ลเบงเฉ่งฉันท์” เป็นบรรดา “นางสนม” หรือ “นางกำนัล” ที่อนิรุทธคำฉันท์ ระบุไว้อีกตอนหนึ่งว่า
๏ ย่อมลูกท้าวไท สมบูรณ์บัวใส วิไลยอาภา ลออเอววรรณ ลวาดเอวลา พิศเพี้ยนพักตรา เปรียบตรูบูรณ์จันทร์
๏ ยอกรประนม เหนือเกล้าบังคม บังคัลเคียมคัล สาวศรีอัปสร อาจอับสาวสวรรค์ ถึงถวายกำนัล กำหนดนานา
“สาวสวรรค์” หรือ “สาวสนม” ซึ่งทำหน้าที่ถวายกำนัลด้วยดนตรีและคำขับชั้นสูงประเภท “ฉันท์” และ “กาพย์” ย่อมไม่มีสิ่งใดแตกต่างไปจากภาพปูนปั้นที่เมืองโบราณคูบัว จังหวัดราชบุรี ที่แสดงให้เห็นประเพณี “ระงมดนตรี” และ “จำเรียงเสียงฉันท์” ในราชสำนักยุคต้นๆ เช่นในยุคทวารวดี แล้วจะมีพัฒนาการเป็น “มโหรีผู้หญิง” ในสมัยต่อๆไป ซึ่งเราอาจกล่าวได้ว่า ดนตรี-มโหรี นี่เองเป็นต้นแบบให้เกิดจิตรกรรมฝาผนังรูปเทวดาดีดกระจับปี่ สีซอสามสายในสมัยต่อๆมา แต่ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือทำให้มีโน้ตเพลงดนตรีอย่างสากล ทำขึ้นโดยชาวยุโรปสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ฯ 2 เพลง สมมติเรียก เพลงสายสมร พิมพ์ในหนังสือของลาลูแบร์ และเพลงสุดใจ พิมพ์ในหนังสือของแชร์แวส์ ต่อมา ภายหลังจาการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อ พ.ศ. 2325 รัชกาลที่ 2 เสด็จขึ้นครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 2352-2367 การค้าโลกกว้างขวางมาก เป็นช่วงหลังปฏิวัติอุตสาหากรรมที่เริ่มตั้งแต่ปลายอยุธยา-ต้นธนบุรี ขณะนั้นอังกฤษยึดครองอาณานิคมอินเดียกับลังกาแล้ว เริ่มมีเรือปืนแล้ว อังกฤษกำลังแผ่อำนาจเข้ามาทางทะเลอันดามัน เพื่อยึดครองดินแดนทางสุวรรณภูมิ ความรู้เทคโนโลยีตะวันตกแผ่เข้ามาถึงสยาม ทำให้สังคมสยามไหวตัวทุกด้าน มีกรณีตัวอย่างคือ สุนทรภู่ เริ่มแต่งพระอภัยมณีต่อต้านการล่าเมืองขึ้น ให้พระอภัยมณีเป่าปี่ เท่ากับใช้ดนตรีเป็นสัญลักษณ์ของปัญญา แก้ไขปัญหาด้วยปัญญา ไม่แก้ด้วยความรุนแรงใช้อาวุธ หรือ “เปลี่ยนสนามรบ เป็นสนามรัก” ด้วยปี่ของพระอภัยมณี ส่งผลให้เพลงดนตรี มีความเปลี่ยนแปลงก้าวหน้าเกิดขึ้นตามลำดับ ได้แก่ ยกระดับเสภาของชาวบ้านเป็นของหลวง เท่ากับยกประเพณีราษฎร์เป็นประเพณีหลวง ยกระนาดไม้ไผ่ของชาวบ้านเป็นของหลวง โดยเปลี่ยนลูกระนาดเป็นไม้เนื้อแข็ง ทำไม้ตีระนาดให้แกร่งกว่าเดิม ทำให้ตีได้เร็วขึ้น แรงขึ้น เสียงระนาดดังรุนแรงและก้าวร้าวกว่าเดิมปรับประเพณีขับเสภาพร้อมกรับ ให้มีปี่พาทย์รับเป็นช่วงๆไป ขณะเดียวกันก็ปรับร้องเนื้อเต็มให้เป็นร้อง-รับ เพราะเสียงระนาดดังแรงขึ้นกลบเสียงคนร้องเมื่อร้องเนื้อเต็มนี่เองทำให้ราชสำนักประดิษฐ์เพลงดนตรีอย่างใหม่ เรียกว่า เพลงเถา มี 3 ชั้น, 2 ชั้น, ชั้นเดียว มีการร้องเอื้อนมากลากยาว สืบต่อมาจนกระทั่งทุกวันนี้
คุณหญิงไพฑูรย์ กิตติวรรณ ศิลปินแห่งชาติ ปี พ.ศ. ๒๕๒๙ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทย)
คุณหญิงไพฑูรย์ กิตติวรรณ
ขณะนั้นอายุท่านก็มากโข
เจ็ดสิบสี่ปีกว่ายังมาโชว์
เดี่ยวจะเข้เก๋โก้ โอ! ยอดจัง
เสด็จมาทอดพระเนตรอยู่ ณ เบื้องหลัง
มโหรีปี่พาทย์ตะโพนดัง
ทรงรับสั่งอธิบดีกรมศิลป์มา
ว่าถ้าเดี่ยวจะเข้ในวันจริง
เชิญคุณหญิงไพฑูรย์มาด้วยหนา
เดี่ยวขิมใหญ่ได้เสนาะเพราะอุรา
อธิบดีรีบมาบอกทันที
ส่วนคุณหญิงค้อนวงใหญ่ไม่เชื่อพลัน
ทูลกระหม่อมท่านนั้นรับสั่งหรือนี่
ถ้าเธอไม่กราบทูลพระองค์นี้
ถึงวันงานยังดีที่ยอมมา
เสียงจะเข้ไพเราะแสนเพราะพริ้ง
แต่คุณหญิงบ่นเจ็บมือหนักหนา
ส่วนผู้ฟังนั่งตะลึงทึ่งอุรา
จวนจะเจ็ดสิบห้าย่าเยี่ยมจริง
ภาพคุณหญิงไพฑูรย์ กิตติวรรณ ศิลปินแห่งชาติ ปี พ.ศ. ๒๕๒๙ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทย) เดี่ยวจะเข้ เพลงขิมใหญ่ ทางครูจางวางทั่ว พาทยโกศล โดยคุณหญิงไพฑูรย์ กิตติวรรณ ขณะมีอายุ ๗๔ ปี
คุณหญิงชิ้น ศิลปะบรรเลง ศิลปินแห่งชาติ ปี 2539
คุณหญิงชิ้น ศิลปบรรเลง
ท่านกาจเก่งสามารถทั้งศาสตร์ศิลป์
เป็นธิดาหลวงประดิษฐ์ไพเราะยิน
ชื่อระบิล"โหมโรง"เห็นเด่นมานาน
คุณหญิงชิ้นจบโรงเรียน"ราชินี"
ทั้งดนตรีขับร้องเพราะเสนาะหวาน
เมื่ออัดเสียงเพลงชาติแต่ก่อนกาล
เสียงประสาน"โซปราโน" โอ! ยอดจริง
สอบภาษาฝรั่งเศสได้ที่หนึ่ง
ฉันอดทึ่งไม่ได้ในคุณหญิง
แต่งทำนองเนื้อร้องได้ไม่ประวิง
ถ่ายทอดสิ่งล้ำค่ามาพาซึ้งทรวง
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
โปรดเกล้าฯทั่ววงมโหรีสตรีหลวง
เริ่มแรกรวมกัลยาข้าทั้งปวง
นับเป็นช่วงยุคทองของดนตรี
ให้พระยาเสนาะดุริยางค์ (แช่ม)
เป็นครูสร้างหญิงเก่งกล้าสง่าศรี
กับครูศร ศิลปบรรเลง มี
ลูกหลานที่เป็นหญิงเข้าเฝ้าพระองค์
ได้ครบวงมโหรีที่ดำริ
ฝึกชำนิชำนาญสานประสงค์
คุณหญิงชิ้น ระนาดเอก หัวหน้าวง
ระนาดทุ้มมาลงครูบรรเลง (บรรเลง สาคริก)
ฆ้องวงใหญ่เล่นอยู่ ครูทองดี
ฆ้องเล็กนี้ ครูทองสุข ท่านสุดเจ๋ง
ระนาดเอกเหล็ก ครูสมใจ ท่านครื้นเครง
ทุ้มเหล็กเอง ไม่แจ้งมาว่าเป็นใคร
คนซอด้วง ครูละมุนกับครูแถม
ซออู้แจม คุณศรีครอบ คุณวง น่าหลงใหล
จะเข้ครู ภัลลิกา พาปลื้มใจ
ขลุ่ยนั้นไซร้ ครูเลียบ เอื้อนเอ่ยนาม
ครูบรรจบตีโทนรำมะนา
ฉิ่งนั้นหนาไม่แจ้งนามตามเล่าขาน
ส่วนนักร้องสตรีนี้งดงาม
ครูท้วมเสียงหวานหวามท่ามกลางวง
คอยบรรเลง ณ หน้าพระที่นั่ง
พระราชวังสวนอัมพรตอนประสงค์
รัชกาลที่เจ็ดเสด็จลง
เคียงพระองค์ราชินีนี้เรื่อยมา
เล่นสลับกับมโหรีบุรุษ
บรรเลงชุดวันเฉลิมพระชนมพรรษา
วันมาฆะ อาสาฬหูชา
วิสาขาหรืองานพระราชพิธี
คุณหญิงชิ้นผลงานงามตามแจ้งไว้
ยังนับว่าน้อยไปในเกียรติศรี
ศิลปินแห่งชาติการดนตรี
เฉกเช่นที่รังสรรค์ประพันธ์มา
หนังสืออ้างอิง
สุจิตต์ วงษ์เทศ หลักฐานเป็นพันๆปี ของเพลงดนตรีและนาฏศิลป์ ไทยสยามสุวรรณภูมิ
(บทปาฐกถาของ สุจิตต์ วงษ์เทศ ในงานแนะนำหนังสือจดหมายเหตุดนตรี 5 รัชกาล งานวิจัยเอกสารและลำดับเหตุการณ์พุทธศักราช 2411-2549 โดย นายแพทย์ พูนพิศ อมาตยกุล และคณะ พิมพ์โดย มูลนิธิสยามกัมมาจล (ในเครือข่ายของธนาคารไทยพาณิชย์) เมื่อวันศุกร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2551)
http://art.culture.go.th/index.php?case=theaterDetail&side=musicth&art_id=91&music_id=121&file_music_id=708
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น